ความหมายของการละเล่นพื้นบ้านของไทย
คำว่า
การละเล่น เป็นคำที่เกิดขึ้นใหม่ผู้เชี่ยวชาญทางภาษาไทยบางท่านกล่าวว่าเป็นการปรับ
เสียงคำว่า การเล่น ให้ออกเสียงง่ายขึ้น
ผู้เชี่ยวชาญกรมศิลปากร ให้ความหมายกว้างออกไปถึงการเล่น
เพื่อผ่อนคลายอารมณ์ให้เกิดความรื่นเริงบันเทิงใจหลังจากการประกอบกิจประจำวัน
และการเล่นใน
เทศกาลท้องถิ่นหรือในงานมงคลบ้าง อวมงคลบ้าง
เช่น เพลงพื้นเมือง ละคร ลิเก ลำตัด หุ่น หนังใหญ่
ฯลฯ ด้วยเหตุที่การละเล่นมีความหมายของคำว่า การละเล่นของไทย
การละเล่นของไทย หมายถึง
การเล่นดั้งเดิมของเด็กและผู้ใหญ่ เพื่อความบันเทิงใจทั้งที่เป็นการเล่นที่
มีกติกาหรือไม่มีกติกา
ไม่มีบทร้องประกอบหรือมีบทร้องประกอบให้จังหวะ บางทีก็มีท่าเต้น ท่ารำ
ประกอบ เพื่อให้งดงามและสนุกสนานยิ่งขึ้น
ทั้งผู้เล่นและผู้ชมมีส่วนร่วมสนุก (สารานุกรมส าหรับ
เยาวชน. 2535 : 166.)
สุขพัชรา ชิ้มเจริญ (2546 : 1
อ้างอิงมาจาก พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตสถาน.) พ.ศ. 2525
ได้ให้ความหมายของคำว่า การละเล่น ไว้ว่า
การละเล่นงานมหรสพต่างๆ การแสดงต่างๆ เพื่อความ
สนุกสนานรื่นเริง การละเล่นของเด็กตรงกับภาษาอังกฤษว่า
Play ซึ่งหมายถึง การเล่น เล่นสนุก
สุขพัชรา ชิ้มเจริญ (2546 : 1
อ้างอิงมาจาก Hurloch 1956 : 321.) ได้กล่าวไว้ว่า การ
เล่นเป็นกิจกรรมที่ก่อให้เกิดความเพลิดเพลิน
สนุกสนาน โดยไม่คำนึงถึงผลที่เกิดขึ้นและเป็นกิจกรรม
ที่กระทำโดยไม่มีการบังคับ
สุขพัชรา ชิ้มเจริญ (2546 : 1
อ้างอิงมาจาก Rudolph 1984 : 95.)ได้ให้ความหมายของ
การละเล่นว่าเป็นกระบวนการพัฒนาทั้ง 4
ด้าน ของเด็ก คือ ด้านร่างกาย ด้านสติปัญญา ด้านอารมณ์
และสังคม
สุขพัชรา ชิ้มเจริญ (2546 : 1
อ้างอิงมาจาก ผอบ โปษะกฤษณะ.) ได้ให้ความหมายของ
การละเล่นของเด็กไทยไว้ว่าเป็นการละเล่นต่างๆของเด็กที่นิยมเล่นกันในชีวิตประจำวัน
โดยสืบทอด
มาจากคนรุ่นก่อน ซึ่งบางประเภทมีบทร้อง และบทรำประกอบ
ส่วนกฎเกณฑ์ต่างๆมีการกำหนดขึ้น
เองตามข้อตกลงของกลุ่มผู้เล่นในแต่ละท้องถิ่น
บางครั้งก็เล่นเพื่อความสนุกสนานรื่นเริง แต่บางครั้งก็
เล่นเพื่อการแข่งขัน
2.ประวัติความเป็นมาและความสำคัญของการละเล่นพื้นบ้านของไทย
สุขพัชรา ชิ้มเจริญ (2546 : 7-10
อ้างอิงมาจากหอสมุดแห่งชาติ. 2504 : 336)กล่าวถึง
ประวัติความเป็นมาของการละเล่นพื้นบ้านของไทยว่าการละเล่นพื้นบ้านของไทยมีมาตั้งแต่สมัยก่อน
ประวัติศาสตร์
โดยศึกษาได้จากศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหงที่ได้กล่าวถึงการละเล่นพื้นบ้านของ
คนไทยในสมัยนั้นว่าอยู่เย็นเป็นสุข
อยากเล่นก็เล่น ดังที่ใครจักเล่น เล่น ใครจักมักหัว หัว ใครจักเลื่อน
เลื่อน แต่ไม่ได้บอกรายละเลียดว่าเล่นอะไรบ้างแต่ในตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์
มีการกล่าวถึงการเล่น
ของคนสมัยนั้นว่า “เดือนยี่ถึงการพระราชพิธีบุษยาภิเษกเถลิงพระโคกินเลี้ยงเป็นนักขัตฤกษ์
หมู่
นางในก็ได้ดูชุดชักว่าวหว่าวฟังสำเนียงว่าร้องเสนาะลั่นฟ้าไปทั้งทิวาราตรี”
ในสมัยอยุธยา
ได้กล่าวถึงการละเล่นบางอย่างไว้ในบทละครเรื่องนางมโนห์รา ซึ่งสมเด็จพระยาดำรง
ราชานุภาพ ทรงสันนิษฐานว่า
แต่ก่อนสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ การละเล่นที่ปรากฏในบท
ละครเรื่องนี้คือ ลิงชิงหลัก
และการเล่นปลาลงอวน วรรณคดีสมัยรัตนโกสินทร์ก็ปรากฏชื่อการละเล่น
หลายอย่าง เช่น ตะกร้อ จ้องเต ขี่ม้าส่งเมือง
เป็นต้น ในเรื่องขุนช้างขุนแผน ก็กล่าวถึงการละเล่น
บางอย่างไว้
พระยาอนุมานราชธนได้กล่าวไว้ในหนังสือฟื้นความหลังไว้ว่า
“การเล่นของเด็กปูนนี้ไม่มี
ปืน ไม่มีรถยนต์เล็กๆ
อย่างที่เด็กเล่นกันเกริกในเวลานี้ลูกหนังสำหรับเด็กเล่น แม้มีแล้วก็ราคาแพง
และยังไม่แพร่หลาย
ตุ๊กตาที่มีดินคือตุ๊กตาล้มลุกและตุ๊กตาพราหมณ์นั่งเท้าแขนสำหรับเด็กหญิงเหล่านี้
เด็กๆชาวบ้านไม่มีเล่นเพราะต้องซื้อ
จะมีแต่ผู้ใหญ่ทำให้หรือไม่ก็เด็กทำกันเองตามแบบที่สืบต่อกันมา
ตั้งแต่ไหนก็ไม่ทราบ เช่น ม้าก้านกล้วย
ตะกร้อสานด้วยทางมะพร้าวสำหรับเตะเล่น หรือตุ๊กตาวัว
ควาย ปั้นด้วยดินเหนียว”ของเด็กเล่นที่สมัยนั้นนิยมเล่นกันคือ
กลองหม้อตาล ในสมัยนั้นขายน้ำตาล
เมื่อขายหมดแล้ว เด็กๆก็นำมาทำเป็นกลอง มีวิธีทำคือ
ใช้ผ้าขี้ริ้วหุ้มปากหม้อ เอาเชือกผูกรัดคอหม้อ
ให้แน่นแล้วเอาดินเหนียวเหลวๆละเลงทาให้ทั่ว
หาไม้เล็กๆ มาตีผ้าที่ขึงข้างๆหม้อโดยรอบเพื่อขันเร่ง
ให้ผ้าตึงเป็นอันสำเร็จ ตีได้มีเสียงดัง
กลองหม้อตาลของใครตีดังกว่ากันเป็นเก่ง ถ้าตีกระหน่ำจนผ้าหุ้ม
ขาดก็ทำใหม่
ส่วนเด็กหญิงส่วนใหญ่ชอบเล่น หม้อข้าวหม้อแกง
หรือเล่นขายของ หุงต้มแกงไปตามเรื่อง
เอาเปลือกส้มโอ เปลือกมังคุด
หรือใบบิดผสมด้วยปูนแดงเล็กน้อยคั้นเอาน้ำข้นๆ รองภาชนะอะไรไว้
ในไม่ช้าจะแข็งตัวเอามาทำเป็นวุ้น
คนไทยในอดีตมองการละเล่นของเด็กไปในแง่จิตวิทยาโดย
ตีความหมายของการแสดงออกของเด็กไปในเชิงทำนายอนาคต
หรือแสดงบุพนิมิตต่างๆความเชื่อ
เช่นนี้ปรากฏในวรรณคดีไทยหลายเรื่อง เช่น
ขุนช้างขุนแผน สำหรับการละเล่นของไทย พระยา
อนุมานราชธน ได้กล่าวไว้ว่า
การละเล่นพื้นบ้านของไทยมีมาแต่สมัยดึกดำบรรพ์ก่อนประวัติศาสตร์
น่าจะได้แก่ “แตกโพละ”
โดยเอาดินเหนียวปั้นเป็นรูปกระทงเล็กๆแต่ให้ส่วนที่เป็นก้นมีลักษณะบางที่สุดที่จะบางได้
และขว้างลงไปบนพื้นให้แรงก็จะมีเสียงแตกดังโพละ และเป็นช่องโหว่ที่ก้นแล้วเอา
ดินแผ่นบางๆ มาทาให้เท่ารูโหว่
การละเล่นนี้จะเกิดขึ้นเพราะมนุษย์รู้จักเอาดินมาปั้นเป็นภาชนะและ
เด็กเห็นผู้ใหญ่จึงนำมามาปั้นเล่นบ้าง
สุขพัชรา ชิ้มเจริญ (2546 : 10
อ้างอิงมาจาก ผอบ โปษะกฤษณะ.) ได้กล่าวถึงประวัติของ
การละเล่นว่า การละเล่นมีมาตั้งแต่สมัยกรีก คือ
ระยะแรกของรอบพันปีก่อนคริสตกาล ซึ่งปรากฏ
หลักฐานอยู่ในหนังสือมหาพากย์อีเลียด (Iliad)
ของโฮเมอร์ (Homer)ชาวกรีกโบราณ ถือว่าความ
สมบูรณ์ของร่างกายเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งเพื่อความอยู่รอด
ดังนั้นการละเล่นต่างๆจึงหนักไปใน
ทางออกก าลังกายเป็นส่วนใหญ่ ได้แก่
การแข่งรถม้า ชกมวย ขว้างจักร มวยปล้ำ พุ่งแหลน ยิงธนู เป็น
ต้น
การละเล่นของไทยเท่าที่ปรากฏเป็นหลักฐานก็ว่ามีมาแต่กรุงสุโขทัย
แต่ที่ปรากฏในบท
ละครเรื่องมโนห์ราครั้งกรุงศรีอยุธยา คือ
การเล่นว่า ลิงชิงเสา ปลาลงอวน บทละครเรื่องนี้นี้สมเด็จ
กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงสันนิษฐานว่าแต่งก่อนสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ
การละเล่น
ของไทยแต่เดิมมาและบางอย่างยังคงปรากฏอยู่จนทุกวันนี้
หากมีการสืบทอดวิธีเล่นบางอย่างที่ดีงาม
นำมาปรับให้เข้ากับยุคสมัยก็จะเป็นประโยชน์แก่สังคมไทย
ไม่เฉพาะแต่การพัฒนาบุคคลเท่านั้น ยัง
ช่วยพัฒนาสังคมอีกด้วย
การละเล่นต่างๆ
ย่อมจะแตกต่างกันไปตามวัยของบุคคลและตามสภาพท้องถิ่น การละเล่น
ของไทยก็เช่นเดียวกัน
แต่การละเล่นบางอย่างไม่สามารถจะชี้ขาดลงไปได้ว่าเป็นการละเล่นของเด็ก
หรือของผู้ใหญ่ เช่น การเล่นว่า การเล่นช่วงชัย
เป็นต้น อย่างไรก็ตาม จากวิธีการเล่นต่างๆ จะเห็นได้
ว่าการละเล่นของไทยมีคุณค่าในทางเสริมสร้างพลานามัย
ประเทืองปัญญาช่วยให้อารมณ์แจ่มใส ฝึก
จิตใจให้งดงาม มีความสามัคคี
และช่วยสร้างคนดีให้สังคม (สารานุกรมไทยฉบับเยาวชน. 2537 :
167)
การละเล่นพื้นบ้านของไทยเรานั้นมีการเล่นกันมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
โดยทั้งหมด
เกิดขึ้นจากความคิดของมนุษย์ทั้งรูปแบบการเล่นกติกาการเล่นต่างๆ
ซึ่งมนุษย์เองมีจุดหมายเพื่อให้
เกิดประโยชน์ในหลายๆด้าน เช่น
ความสนุกสนานเพลิดเพลิน ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง จิตใจแจ่มใส
ทำให้อารมณ์ดี เพิ่มพูนสติปัญญา
และยังช่วยให้ผู้คนในสังคมใช้ชีวิตร่วมกันในสังคมอย่างสามัคคีกัน
และเข้าอกเข้าใจกัน (สำนักพิมพ์สกายบุ๊กส์. 2554
: 6)
3.ประเภทของการละเล่นพื้นบ้านของไทย
นักวิชาการด้านคติชนวิทยาให้ความสนใจการละเล่นเพียงเล็กน้อย
และไม่ค่อยคำนึงถึง
ธรรมชาติของการเล่นจะมุ่งแต่สนใจในด้านประวัติและการถ่ายทอดวิธีเล่น
ไม่มีการจัดแบ่งประเภท
ของการละเล่น ในปี 1995Grain
Sutton-Smith ได้นำเสนอผลงานชื่อ The Game of New
Zealand Children โดยเขาได้จัดประเภทของการละเล่นออกเป็น 4
แบบ แต่ละแบบมีพื้นฐานจากพฤติกรรม
ดังนี้
1.นันทนาการ
(recreation) เป็นการละเล่นที่เลียนแบบการแสดง หรือละคร เป็น
การละเล่นตามบทบาทและการเลียนแบบ
2.เกม
(game) เป็นการเล่นแข่งขัน ซึ่งจะมีผู้แพ้และผู้ชนะ
3.การแข่งขันระหว่างบุคคลกับกลุ่มคน
เป็นการละเล่นที่เน้นหนักไปในการวางแผน
4.การละเล่นที่อาศัยโชค
เช่น การทาย
ในประเทศไทย การรวบรวมเรื่องการละเล่นกระทำกันแพร่หลายแต่การวิจัยการละเล่นนั้นๆตาม
วิธีการทางคติชนวิทยา (Folklore)และชนชีพิตศึกษา
(Folklore) ยังไม่ปรากฏแพร่หลาย มีงานวิจัยและ
รวบรวมที่ปรากฏ ดังนี้
ปี
พ.ศ. 2463 สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานนุภาพ
ทรงโปรดให้รวบรวมบทกล่อมเด็ก บท
ปลอบเด็ก และบทเด็กเล่น ซึ่งได้จากมณฑลพายัพ
มณฑลอุดร ร้อยเอ็ด มณฑลนครศรีธรรมราช
ปัตตานี ภูเก็ต และมณฑลกรุงเทพ
ปี
พ.ศ.2509 กุหลาบมัลลิกะมาศ ได้ศึกษารวบรวมคติชาวบ้าน
ได้เพลงประกอบการละเล่น
ของเด็ก 36 บท
จุดมุ่งหมายเพื่อรวบรวมคติชาวบ้าน ไม่ได้ทำการวิเคราะห์
ปี
พ.ศ. 2515 ฉวีวรรณ คูหาภินันท์
ได้รวบรวมและจัดประเภทการละเล่นของไทยตามแบบ
ของวอร์เรน อี โรเบอร์ตส์ (Warren E.
Roderts) โดยแบ่งการละเล่นออกเป็น 16
ประเภท คือ
1.ประเภทการเล่นทาย9.ประเภทกระโดดข้าม
2.ประเภทการนับ
10.ประเภทตลก
3.ประเภทการกระโดดเชือก
11.ประเภทกระดาษดินสอ
4.ประเภทซ่อนหา
12.ประเภทความแม่นยำ
5.ประเภทการปรับ
13.ประเภทเกี้ยว
6.ประเภทการไล่-ไล่จับ
14.ประเภทไม้
7.ประเภทคัดออก
15.ประเภทสำหรับเด็กเล็ก
8.ประเภทลูกบอล 16.ประเภทร้องเพลงระบำ
ปี
พ.ศ. 2520 สุรสิงห์สำรวม ฉิมพะเนาว์
ได้ศึกษาเรื่องการละเล่นของเด็กล้านนาไทยใน
อดีต ได้จัดประเภทของการละเล่นของเด็กตามที่ปรากฏในคำสู่ขวัญได้
7 ประเภท คือ
1. การละเล่นโดยการเลียนแบบการท างานของผู้ใหญ่
2. การละเล่นโดยการเลียนแบบการประกอบอาชีพของผู้ใหญ่
3. การละเล่นโดยการเลียนแบบวิธีหาอาหารของผู้ใหญ่
4. การละเล่นเพื่อความเพลิดเพลินของตนเองตามลำพัง 5.
การละเล่นโดยมีกติกา
6. การละเล่นกับเพื่อนๆ โดยไม่มีกติกา
7. การละเล่นแข่งขันโดยมีการพนัน
ในปี
พ.ศ. 2522 พันตรี ผอบ โปษะกฤษณะ และคณะ
ได้วิจัยเรื่องการละเล่นของเด็กภาค
กลางโดยจัดประเภทการละเล่นตามสถานที่ ดังนี้
1. การละเล่นกลางแจ้ง
ได้การละเล่นประเภทมีบทร้อยกรองประกอบ 8 ชนิด
ประเภทมีคำโต้ตอบ 4
ชนิด และประเภทไม่มีบทร้องประกอบ 32 ชนิด
2. การละเล่นกลางแจ้งหรือในร่มก็ได้
ได้การละเล่นประเภทไม่มีบทร้อง 8 ชนิด
3. การละเล่นในร่ม ได้ประเภทที่มีบทร้องประกอบ 8
ชนิด และประเภทที่ไม่มี
บทร้องประกอบ 24
ชนิด
4. การเล่นเลียนแบบผู้ใหญ่
5. การเล่นบทล้อเลียน
6. การเล่นประเภทเบ็ดเตล็ด
7. การเล่นปริศนาคำทาย
สุขพัชรา ชิ้มเจริญ (2546 : 13
อ้างอิงมาจาก อรชร อ่ำจันทร์.) ได้จัดประเภทและวิเคราะห์
ลักษณะของการเล่นพื้นเมืองไทยโดยแบ่งได้ 2
ประเภทใหญ่ คือ
1. การเล่นประเภทมีกติกาที่มีบทร้องประกอบและไม่มีบทร้องประกอบ
2. การเล่นไม่มีกติกา ได้แก่ การเล่นของเล่น
การเล่นปริศนาคำทาย การเล่น
ล้อเลียน
ผ่องพันธุ์
มณีรัตน์แบ่งการละเล่นของเด็กไทยออกตามกติกาการเล่นได้เป็น 2
ประเภท คือ
1. การละเล่นที่เน้นการแพ้ชนะ
ได้แก่ การเล่นที่มีผู้แพ้ชนะที่แน่นอน ซึ่งผู้เล่น ทั้ง 2
ฝ่ายยอมรับการเอาชนะกันในการเล่นที่ผู้เล่นเกิดความรู้สึกว่ามีความสำคัญนั้น
ต้องการแพ้ชนะที่เกิด
จากความชำนาญและความสามารถที่เหนือกว่าของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
ไม่ใช่การแพ้ชนะที่เกิดจากการ
หมุนเวียนสับเปลี่ยนตัวผู้เล่น
2.การเล่นที่ไม่เน้นการแพ้ชนะ
เป็นการเล่นเพื่อฆ่าเวลา เพื่อความสนุกสนาน เพื่อการ
ออกก าลังกาย และการฝึกฝนตนเองในบางด้าน
ผู้เล่นจะแพ้หรือชนะก็ไม่รู้สึกว่าสำคัญ อาจเป็นการ
เล่นที่ผู้เล่นทุกคนมีโอกาสได้สับเปลี่ยนหน้าที่กัน
จึงทำให้ลดความรู้สึกเรื่องแพ้ชนะลง
4.การละเล่นพื้นบ้านแบบๆ ต่างของไทย
การละเล่นที่มีบทร้อง
1.
อ้ายเข้อ้ายโข
จำนวนผู้เล่น :ไม่จำกัดจำนวน
วิธีเล่น :จับไม้สั้นไม้ยาวว่าใครจะเป็นอ้ายเข้
สมมุติเป็นแม่น้ำมี 2 ฝั่ง คนอื่นๆ อยู่บนบก อ้ายเข้อยู่
วิธีเล่น :จับไม้สั้นไม้ยาวว่าใครจะเป็นอ้ายเข้
สมมุติเป็นแม่น้ำมี 2 ฝั่ง คนอื่นๆ อยู่บนบก อ้ายเข้อยู่กลาง
แม่น้ำทุกคนต้องว่ายน้ำข้ามฝั่ง
อ้ายเข้คอยจับคนกำลังว่ายน้ำให้ได้ ถ้าอ้ายเข้จับใครได้คนนั้นต้องเป็น
อ้ายเข้แทนระหว่างวิ่งข้ามฝั่ง
คนบนบกจะหยอกล้อทำท่าทางต่างๆ
บทร้องประกอบ:
อ้ายเข้อ้ายโขง อยู่ในโพรงไม้สัก อ้ายเข้ฟันหัก กัดคนไม่เข้า
2. มอญซ่อนผ้า
จำนวนผู้เล่น :ไม่จำกัดจำนวนผู้เล่น
วิธีเล่น :มีผ้า 1
ผืน เป็นอุปกรณ์การเล่น จับไม้สั้นไม้ยาว เลือกคนที่เป็นมอญ คนอื่นๆ
นั่งล้อมวงคนที่
เป็นมอญถือผ้าไว้ในมือ เดินวนอยู่นอกวง
คนที่นั่งล้อมวงอยู่จะร้องเพลง ระหว่างนั้นคนที่เป็นมอญจะ
ทิ้งผ้าไว้หลังใครก็ได้
แต่ต้องพรางไว้เป็นว่ายังถือผ้าอยู่ เมื่อเดินกลับมา ผ้ายังที่อยู่เดิม
ก็หยิบผ้าไล่ตี
ผู้อื่น ผู้เล่นนั้นต้องวิ่งหนีไปรอบๆ วง
แล้วจึงนั่งได้ ผู้เป็นมอญจะเดินวนต่อไปหาทางวางผ้าให้ผู้อื่น
ใหม่ถ้าใครรู้สึกตัวคลำพบผ้าจะวิ่งไล่ตีมอญไปรอบวง
1 รอบ มอญต้องรีบวิ่งหนีมานั่งแทนที่ คนไล่ก็
ต้องเป็นมอญแทน
บทร้องประกอบ : มอญซ่อนผ้า ตุ๊กตาอยู่ข้างหลัง
ไว้โน่นไว้นี่ ฉันจะตีก้นเธอ
3.
รีรีข้าวสาร
จำนวนผู้เล่น :ไม่จำกัดจำนวนผู้เล่น
วิธีเล่น :จับไม้สั้นไม้ยาว ให้ผู้เล่น 2 คน
ยืนเอามือประสานกันเหนือศีรษะเป็นประตูโค้ง คนอื่นๆ เกาะ
ไหล่กันลอดใต้โค้งไปเรื่อยๆ
สองคนที่เป็นประตูจะร้องเพลงประกอบเวลา แถวลอดใต้โค้งหัวแถว
จะต้องเดินอ้อมหลังคนที่เป็นประตูครั้งละหน
เมื่อจบเพลงสอง คนที่เป็นประตูจะกระดุกแขนลงกั้น
คนสุดท้ายให้อยู่ระหว่างกลาง คัดออกไป
คนข้างหลังต้องระวังตัวให้ดี มิฉะนั้นตนเองต้องออกจาก
การเล่น ต้องผ่านให้ได้หมดทุกคนจึงจะจบเกม
บทร้องประกอบ : รีรีข้าวสาร สองทะนานข้าวเปลือก
เลือกท้องใบลาน เก็บเบี้ยใต้ถุน
ร้าน คดข้าวใส่จาน พานเอาคนข้างหลังไว้ให้ดี
การละเล่นที่เน้นความคล่องแคล่วว่องไว
4.
กาฟักไข่
จำนวนผู้เล่น :ไม่จำกัดจำนวน
วิธีเล่น :ใช้ผลไม้หรืออะไรก็ได้
สมมุติว่าเป็นไข่ และเขียนวงกลมลงบนพื้นเส้นผ่าศูนย์กลาง ประมาณ
4 ฟุต 1 วง และอีกขาอยู่ในวงแรกขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง
1 ฟุต วางไข่กำหนดไว้ในวงกลมเล็ก ให้คน
ใดคนหนึ่งเป็นกายืนในวงกลมใหญ่
หรือนั่งคร่อมวงกลมเล็ก นอกนั้นทุกคนยืนรอบนอกวงกลมใหญ่
คอยแย่งไข่คนเป็นกามีหน้าที่ ป้องกันไข่
โดยมีกติกาการเล่น ดังนี้
1. ผู้มีหน้าที่หยิบ
(แย่ง) ไข่ เข้าไปในวงกลมไม่ได้
2. ผู้มีหน้าที่หยิบไข่ต้องระวังมิให้อีกาตีถูกมือ
หรือแขนของตน ซึ่งล่วงล้ำเข้าไปในวงกลมได้
3. ถ้าแย่งไข่ไปจากอีกาได้หมด
ให้ปิดตาอีกา แล้วเอาไข่ไปซ่อนให้อีกาตามหาไข่ ถ้าพบไข่ที่ผู้
เล่นคนใดเป็นคนซ่อนผู้นั้นต้องเปลี่ยนเป็นกาแทน
5.ตี่จับ
จำนวนผู้เล่น :ไม่จำกัดจำนวน
วิธีเล่น : แบ่งเป็น 2
ฝ่ายเท่าๆกัน และจับไม้สั้นไม้ยาวว่าใครจะเริ่มตี่ก่อน ฝ่ายที่ตี่ก่อน
เริ่มเล่นโดย
เลือกพวกของตนคนหนึ่งเป็นคนเข้าไปตี่
คนตี่จะออกเสียง "ตี่..." หรือ "หึ่ม...” เข้าไปในแดนฝ่ายตรง
ข้าม
ในขณะเดียวกันฝ่ายตรงข้ามต้องคอยยึดตัวไม่ให้กลับเข้าแดนของตนได้
จนกว่าจะขาดเสียงผู้นั้น
ต้องมาเป็นเชลยของฝ่ายตรงข้าม
แต่ถ้าสามารถหนีกลับเข้าแดนตนได้ คนที่ถูกแตะจะกี่คนก็ตามต้อง
ไปเป็นเชลยสลับกันเมื่อมีฝ่ายของตนเป็นเชลย
ผู้ที่ตี่คนต่อไปต้องพยายามช่วยพวกของตนกลับมาให้
ได้ ฝ่ายตรงข้ามต้องคอยกันไม่ให้แตะกันได้
ถ้าแตะกันได้เชลยจะได้กลับแดนของตน เล่นกันเช่นนี้
จนกว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะหมดตัวผู้เล่นก่อน
ฝ่ายชนะมีสิทธ์จะให้ฝ่ายแพ้ทำอะไรก็ได้
6. เก้าอี้ดนตรี
จำนวนผู้เล่น :ไม่จำกัดจำนวน
วิธีเล่น :ผู้เล่นทุกคนยืนเป็นวงหลังเก้าอี้
เมื่อเพลงขึ้นทุกคนต้องรำ เมื่อเพลงหยุดตอนใด ทุกคนต้องรีบ
นั่งเก้าอี้ คนที่เหลือแย่งไม่ทันเพื่อน
ต้องออกจากการแข่งขัน กรณีที่แย่งกันนั่งพร้อมกัน 2 คน
เก้าอี้ตัว
เดียวกัน ตัดสินไปว่าใครนั่งก่อนให้เริ่มใหม่
เล่นกันต่อไปจนเหลือคนสุดท้าย ก็จะเป็นผู้ชนะเงื่อนไข
จำนวนเก้าอี้ต้องน้อยกว่า ผู้เล่น 1
ตัว ทุกครั้ง เช่น ถ้ามีผู้เล่น 4 คน ต้องมีเก้าอี้ 3
ตัว
7.
เสือกินวัว
จำนวนผู้เล่น :ไม่จำกัดจำนวน
วิธีเล่น :เลือกผู้เล่นคนหนึ่งเป็นวัว
อีกคนหนึ่งเป็นเสือที่เหลือนอกนั้นจับมือกันยืนล้อมวงเป็นคอกวัว
ให้วัวอยู่กลางวงส่วนเสืออยู่นอกวงและพยายามจะเข้าไปในคอกเพื่อจับวัวกินคอกก็ต้องจับมือกัน
แน่นๆ
ไม่ให้เสือฝ่าเข้าไปได้เสือต้องพยายามหาคอกด้านที่คิดว่าไม่แน่นหนา
และฝ่าเข้าไปเมื่อเข้าไปได้เสือต้องพยายามหาคอกด้านที่คิดว่าไม่แน่นหนา
และฝ่าเข้าไปเมื่อเข้าไปได้ก็ไล่จับวัวให้ได้ วัวจะ
วิ่งหนีทันที
ซึ่งมักหนีออกไปนอกคอกพอเสือจะตามไปคอกก็ต้องพยายามกันไว้ ถ้าเสือฝ่าออกไปได้
ก็จะวิ่งไล่จับวัวพอจับได้ก็ถือว่าการเล่นสิ้นสุดลงจะเปลี่ยนให้คนอื่นมาเป็นเสือกับวัวแทนคู่เก่าที่ไป
เป็นคอกบ้าง
8.
วิ่งเปี้ยว
จำนวนผู้เล่น :ไม่จำกัดจำนวนผู้เล่น
วิธีเล่น :แบ่งผู้เล่นเป็น 2
ฝ่ายเท่าๆ กัน โดยปักหลัก 2 ข้าง หรือใช้คนนั่งเป็นหลักข้างละหลัก
ระยะห่าง
ประมาณ 50
เมตร มีกรรมการตัดสิน 1 คน เริ่มต้นพร้อมกันทั้งสองข้าง
ต้องวิ่งล้อมหลักไล่ให้ทันกัน
มือถือผ้าคนละผืน เมื่อถึงฝ่ายของตน ส่งผ้าให้คนต่อไป
เป็นเช่นนี้จนวิ่งทันกัน ฝ่ายไล่ทันต้องใช้ผ้าที่
ถืออยู่ตีอีกฝ่ายหนึ่ง ถือว่าฝ่ายนั้นชนะ
การละเล่นที่เน้นทักษะการกระโดด การทรงตัว
9.
กระโดดเชือกขาเดี่ยว
จำนวนผู้เล่น :ไม่จำกัดจำนวน
วิธีเล่น
:เชือกยาวขนาดพอตัวผู้เล่นจับปลายเชือกทั้งสองข้างแกว่งไปข้างหน้า
กระโดดข้ามทีเดียว 2
ขา หรือทีละขาก็ได้
ถ้ากระโดดไปเหยียบเชือกก็หมดรอบ หรือจะแกว่งย้อนหลังก็ได้
10. เสือข้ามห้วยหมู่
จำนวนผู้เล่น :ไม่จำกัดจำนวน
วิธีเล่น :เหมือนกับเสือข้ามเดี่ยว แต่จำนวนผู้ที่เป็นห้วยเพิ่มมากขึ้น
นั่งเรียงกันไป โดยเว้นระยะห่าง
พอสมควร
ผู้ที่เป็นเสือต้องกระโดดข้ามให้พ้นหมดทุกด่าน ถ้าตายที่ด่านใดด่านหนึ่ง
ทุกคนจะต้อง
ตายหมดกลายมาเป็นห้วยแทนสลับกัน
ส่วนเสือข้ามห้วยเดี่ยวนั้น ถ้าเสือข้ามพ้นทุกขั้น ผู้เป็นห้วยจะ
ถูกลงโทษโดยพวกเสือจะช่วยกันหามไปทิ้งแล้วิ่งกลับมาที่เล่น
ผู้ที่เป็นห้วยต้องพยายามจับให้ได้ ถ้า
จับคนใดได้คนนั้นต้องมาเป็นห้วยแทน
11.
แตะหุ่น
จำนวนผู้เล่น :ไม่จำกัดจำนวนผู้เล่น
วิธีเล่น :จับไม้สั้นไม้ยาว
เลือกผู้เล่นคนหนึ่งเป็นคนวิ่งไล่ คนอื่นๆ หลอกล่อ เมื่อคนวิ่งไล่ไปแตะใคร
คนนั้นต้องหยุดนิ่งในท่าทีกำลังกระทำอยู่นั้น
จะเคลื่อนไหวหรือเปลี่ยนท่าไม่ได้ ถ้าเคลื่อนไหวคนนั้น
ก็ตาย ต้องมาเป็นคนไล่แทน ถ้าแตะได้หมด
และทุกคนเป็นหุ่นหมด ผู้วิ่งไล่จะแสดงท่าหลอกล่อต่างๆ ให้ยิ้ม
หัวเราะหรือเคลื่อนไหว ใครเคลื่อนไหวต้องมาเป็นคนวิ่งไล่แทน
การละเล่นที่เน้นทักษะการนับ
การกะระยะ
12.หมากเก็บ
จำนวนผู้เล่น :จำนวนผู้เล่น 2 – 4 คน
วิธีเล่น :ใช้ก้อนกรวดที่มีลักษณะกลมๆ 5
ก้อน เสี่ยงทายว่าใครจะเล่นก่อน โดยวิธีขึ้นร้าน คือ ถือ
หมากทั้งห้าเม็ดไว้แล้วโยนพลิกหงายหลังมือรับ
แล้วพลิกมือกลับรับอีกที ใครเหลือหินอยู่ในหินอยู่
ในมือมากที่สุดคนนั้นเล่นก่อน มีทั้งหมด 5
หมาก
หมากที่ 1
ทอดหมากให้ห่างๆ กัน เลือกลูกนำไว้ 1 เม็ด ควรใช้เม็ดกรวดที่ห่างที่สุด
โยนเม็ดนำขึ้นแล้วเก็บทีละเม็ดพร้อมกับรับลูกนำที่หล่นลงมาให้ได้
ถ้ารับไม่ได้ถือว่า “ตาย” ขณะที่หยิบเม็ดที่
ทอดนั้นถ้ามือไปถูกเม็ดอื่นถือว่า ตาย
หมากที่ 2
เก็บทีละ 2 เม็ด
หมากที่ 3
เก็บทีละ 3 เม็ด
หมากที่ 4
ใช้โปะ ไม่ทอด คือ ถือหมากทั้งหมดไว้ในมือ โยนลูกนำขึ้นแล้วโปะเม็ดที่เหลือลง
พื้นแล้วรวมทั้งหมดที่ถือไว้
“ขึ้นร้าน” ได้กี่เม็ดเป็นแต้มของคนนั้น
ถ้าขึ้นร้านเม็ดหล่นหมด ใช้หลังมือรับไม่ได้ ถือว่า “ตาย”
ไม่ได้แต้ม คนอื่นเล่นต่อไป ถ้าใครตายหมากไหนก็เริ่มต้นหมากนั้น
ส่วนมากกำหนดแต้ม 50-100
แต้ม เมื่อแต้มใกล้จะครบ เวลาขึ้นร้านต้องคอยระวังไม่ให้เกินแต้มที่
กำหนด ถ้าเกินไปเท่าไร
หมายถึงว่าต้องเริ่มต้นใหม่โดยได้แต้มที่เกินไปนั้นวิธีเล่นหมากเก็บนี้มีพลิก
แพลงหลายอย่าง เช่น โยนลูกนำขึ้นเก็บทีละเม็ด
เมื่อเก็บได้เม็ดหนึ่งก็โยนขึ้นพร้อมกับลูกนำ 2 – 3 – 4
เม็ด ตามลำดับ หมาก 2 – 3 -4
ก็เล่นเหมือนกันโยนขึ้นทั้งหมดเรียกว่า “หมากพวง” ถ้าโยนลูกนำขึ้น
เล่นหมาก 1- 2 -3 -4
แต่พลิกข้างมือขึ้นรับลูกนำให้เข้าในมือระหว่างนิ้วโป้งและนิ้วชี้ โดยทำเป็นรูป
วงกลมเตรียมไว้เรียก “หมากจุ๊บ”
ถ้าใช้มือซ้ายป้องและเขี่ยหมากให้เข้าในมือนั้นทีละลูกในหมาก 1
-2
-3 และ 4 ตามลำดับ เรียกว่า “อีกาเข้ารัง”
ถ้าเขี่ยไม่เข้าจะตาย ถ้าใช้นิ้วกลางกับนิ้วหัวแม่มือยันพื้น นิ้ว
อื่นปล่อยทำเป็นรูปซุ้มประตู
เขี่ยหมากออกเรียกว่า “อีกาออกรัง” ถ้าใช้นิ้วกลางกับนิ้วหัวแม่มือ
ขด
เป็นวงกลม นิ้วชี้ตรงนิ้ว
นอกนั้นยันพื้นเป็นรูปรูปู เรียกว่า “รูปู” เมื่อจบเกมการเล่นแล้วจะมีการกำทาย
ผู้ชนะจะทายผู้แพ้ ว่ามีกี่เม็ด
ถ้าทายผิดจะต้องถูกเขกเข่า กี่ทีตามที่ตนเองทายจนเหลือเม็ดสุดท้าย คน
ทายจะถือเม็ดไว้ในมือ แล้ววนพร้อมกับร้องเพลงประกอบเมื่อร้องจบเอามือหนึ่งกำไว้
งอข้อศอกขึ้น
ต้องบนมือที่กำอีกข้างหนึ่ง
บทร้องประกอบ: ตะลึงตึงตัง ข้างล่างห้า
ข้างบนสิบ(สุขพัชรา ชิ้มเจริญ. 2546 : 17-56)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น